Just another WordPress.com site

Archive for the ‘สุขภาพและความสุขสมบูรณ์’ Category

result from working hard

ทำงาน ทำงาน ทำงาน บางทีก็สนุกกับงานจนลืมไปว่าตัวเราก็ต้องการการดูแล รู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีอาการป่วยแล้ว ทีนี้จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ต้องทำงานไปพร้อมกับรักษาตัวเอง ทั้งๆทีก่อนหน้านี้ก็ควรจะดูแลตัวเองไปด้วย ไม่น่าเลย… ที่น่ากลัวคือ อาการอาเจียนเป็นเลือด หลายๆสำนักบอกมาว่าต้องไปส่องกล้องเพื่อหาจุดที่เลือดออก แล้วก็ต้องรักษากับหมอเท่านั้น ไม่มีการอยู่เฉยๆแล้วหาย!!! แต่ไม่อยากเลย งานก็เยอะ เป็นช่วงสามีกลับบ้าน และไม่อยากส่องกล้อง แค่คิดก็อยากอ้วกแล้วอ่ะ

อาการเป็นยังไงน่ะเหรอ ก็หลังจากกินข้าวไม่เป็นเวลา มีแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดบ่อยครั้ง เพราะทำงานออกต่างจังหวัดตลอด 2 อาทิตย์ ไม่มีอาการปวดกระเพาะหรืออาการกระเพาะอาหารอักเสบหรือใดๆเลย งานล่าสุดไปดริ้งค์กันแล้วก็อาเจียนเอาเศษอาหารออกมาและจบด้วยเลือดสีแดงสดๆ เหมือนกับตอนที่กินแตงโมแล้วอ้วกเลย แต่วันนั้นเข้าใจว่าไม่มีอาหารสีแดงใดๆที่ตกลงกระเพาะเลย ตอนอ้วกก็คิดแต่ว่าสีแดงมันคืออะไร กลับมานั่งอ่านบทความต่างๆก็เลยรู้แล้วว่า…มันคือเลือดที่ออกในกระเพาะอาหารส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเอง หลังจากนั้นก็ยังคงไม่ได้กินข้าวตรงเวลาเพราะงานนั่นเอง ล่าสุดรู้สึกปวดตึงๆบริเวณเหนือสะดือ 1 ฝ่ามือขึ้นมา เวลาเข้าห้องน้ำ…ไม่รู้เกี่ยวกันรึเปล่า ที่เล่านี่เอาไว้เผื่อต่อไปอาการมันแย่ลงจะได้ไม่ลืมว่าเริ่มต้นมีอาการเป็นอย่างไร จะได้บอกคุณหมอได้ถูกต้อง ว่าแต่ว่าทำไมค่ารักษามันแพงจังอ่ะ ไม่มีประกันสุขภาพซะด้วยสิ เฮ้อ….

o_o น้ำหนักลด

วันก่อนได้ยินน้องที่อยู่ด้วยกันบอกว่าน้ำหนักขึ้น วันนี้ก็เลยชั่งดูมั่ง ตาชั่งเดิมๆของเรานี่แหละ จำได้ว่าตอนบริจาคน้ำหนักสัก 2 เดือนก่อน น้ำหนัก 50 ปริ่มๆ วันนี้กลายเป็น 47 ไปซะงั้น รู้เลยว่าเป็นเพราะการปั่นเล่มรายงานความก้าวหน้าและงานอื่นๆเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นเอง มากกว่านั้นก็คือ ที่มันลดน่ะ เหมือนว่าจะเป็นน้องโฟรโมสต์ซะด้วย ตะกี้ก็เลยออกไปหาของกินมาซะหน่อย แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่มีความอยากกินเลยนี่สิ ทั้งๆที่ตอนนี้ก็หมดช่วงแห่งความกดดันไปแล้วนะ แค่รอสอบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าจะมีผลต่อน้ำหนักอีกสักเท่าไหร่ อยากผอมนะ แต่ส่วนที่ลดขอเป็นขากะน่องได้ป่ะ ไม่อยากแบนราบเป็นหน้ากลองนะ

สูตรลดน้ำหนัก ของสมเด็จพระเทพฯ

เนื่องจากน้ำหนักขึ้น ก็ต้องทำให้มันลงมาเป็นปกติให้ได้ จะลองด้วยสูตรพระเทพฯดูหน่อย
 
 
 
**ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว**

วันแรก

  • มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือโยเกริต์
  • มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
  • มื้อเย็น : สลัดผัก

วันที่สอง

  • มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
  • มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง
  • มื้อเย็น : โยเกริต์

วันที่สาม

  • มื้อเช้า : โยเกริต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
  • มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
  • มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่สี่

  • มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
  • มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น
  • มื้อเย็น : โยเกริต์

วันที่ห้า

  • มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
  • มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น
  • มื้อเย็น : สลัดผัก

วันที่หก

  • มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม
  • มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา
  • มื้อเย็น : นมสด

วันที่เจ็ด

  • มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก
  • มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู
  • มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่แปด

  • มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น : ให้รับประทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันแรก

v.v โรคภัยกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์

ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วที่ป่วย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่หายดีจากอีสุกอีใส แผลเพิ่งจะตกสะเก็ด อาการกระเพาะก็กำเริบอีก สงสัยจะเป็นเพราะยาอีสุกอีใสที่ไปปลุกมันขึ้นมา เนื่องจากยานั้นต้องกินทุก 4 ชั่วโมง …ท้องว่างก็กินได้… ตอนนี้ลมจุกเสียดแทงมาจากส่วนของกระเพาะอาหารแทงมาตามราวนมซ้าย ทะลุไปถึงรักแร้ หลัง และไหล่ ทำให้ตัวเกร็งเพราะความเสียดไปด้วย ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิต เป็นมาวันนี้วันที่สองละ แถมด้วยปวดท้องเมนส์อีกหน่อย ดีนะที่ไม่มีไข้มาทับอีก ไม่งั้นเราจะเลิกพยายามอ่านหนังสือและทำงานวิจัยละ แค่นี้ก็ทำไม่ค่อยจะได้ เพราะมันไม่มีสมาธิเลย
 
วันนี้ก็เลยไปถวายสังฆทานที่วัดพุทธซะหน่อย เผื่อจะช่วยลดเคราะห์กรรมที่ยังตกค้างอยู่ให้ผ่านพ้นไป และเริ่มต้นปีของการมีอายุ 27 ปีอย่างแข็งแรงและสมบูรณ์พร้อมสุขกายสบายกระเป๋าตังค์ด้วย
 
แถมเรื่องรถอีกหน่อย คาดว่าหลังจากสอบวันที่ 1,2,3 นี่แล้วถ้าสถานการณ์งานวิจัยเราคืบหน้าไปได้มาก ก็จะขึ้นอุดรไปขับรถมาไว้ที่กรุงเทพละ เพราะพี่หนอมคาดว่าจะต้องโดนเลื่อนไปปลายเดือนแน่ๆ v..v น่าเศร้าจริงๆ ทีแรกนึกว่าจะมาฉลองวันเกิดกะเรา สุดท้ายก็ต้องฉลองวันเกิดคนเดียวอีกละ ต่อเหตุผลในการไปเอารถมาอีกหน่อยก็คือ พอพี่หนอมกลับมาแกก็ต้องเข้าอบรมของ วสท. เลย คงไม่มีเวลาขึ้นอุดร ถ้าเรายังไม่ไปขับมาไว้ ช่วงอยู่ กทม. แกก็จะไม่มีรถใช้เหมือนเช่นเคย… ซึ่งน่าสงสารคนเคยขับรถใน กทม. มากมาย แต่สำหรับเรามันไม่มีปัญหาอะไรเลย
 
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอให้ร่างกายอรทัยสมบูรณ์เต็มร้อยก่อนนั่นแหละ สำคัญที่สุด

ชื่อโรค: ไข้สุกใส

เซ็งมากมาย ตื่นมาเห็นสภาพตัวเองดูไม่ได้เลย แล้วจะกินอะไรดีล่ะคะวันนี้ แค่ใส่เสื้อผ้าก็ลำบากละ เสื้อขาวก็เลอะยาทาตัวหมดเลย มันเป็นอาการหดหู่ จิตตกอย่างแรง ไม่มีใครมาดูแลเลย แถมบรรยากาศก็ฝนตก มืดครึ้ม …ชวนให้น่านั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
 
ตอนบ่ายก็ต้องออกไปหาหมออีก ยังคิดวิธีเดินทางไม่ออกเลย สงสัยต้องปั่นจักรยานไปละมั้ง ไม่อยากเอาโรคไปแบ่งใคร ถ้ามีคนดูแลก็คงดี มีคนพาไปหาหมอ จะกินข้าวก็ไม่ต้องบากหน้าเละๆไปซื้อเอง คิดแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาดังๆ ช่วงนี้แหละที่ต้องการกำลังใจ และคนดูแล แต่ก็ต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไกลจากคนที่รัก…ไม่น่าเลย อยากกลับไปหาแม่ อยากให้แม่พูดให้กำลังใจจังเลย….
 
อยากให้มีคนมาดูแลจังเลย…

คุณสุก คุณใส… พระเจ้าช่วยหนูด้วย

ตื่นมาด้วยความสุขสบาย เพราะกินยาแก้แพ้ก่อนนอน เนื่องจากมีอาการคันยิบๆตามผิวหนังหลังจากอาบน้ำแล้วมากจนทนไม่ไหว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราก็รู้สึกคันเนื้อตัวอยู่บ้างแต่ยังพอไหว คิดว่าเป็นเพราะหาหมอสิวก็เลยทำให้คันยิบๆที่ขอบๆหน้า
 
รับสายแอนปุ๊ป เดินไปต้มน้ำชงกาแฟ อุ่นข้าวสวย จะห่อไปกินที่มหาลัย ถอดเสื้อผ้า เตรียมตัวอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ก็ยังคิดสงสัยว่าทำไมสิวเห่อขึ้นมาเยอะจัง แอบคิดว่าคงเป็นเพราะเมื่อวานคัน แพ้อะไรสักอย่าง
 
ขึ้นไปยืนในอ่างอาบน้ำ ล้างตัว กำลังจะถูสบู่…. ตุ่มแดงที่แขน พุง หน้าอก ….เอ๊ย ทำไม เกิดอะไรขึ้น หรือว่าแพ้อาหารทะเล!!!
 
รีบแต่งตัวไปมหาลัย…ทำธุรให้ตั้มก็ไม่ได้ทำอะไร เลยออกไปหาหมอ ที่แรก คลีนิกบางปะกอก เป็น รพ.ที่รับประกันสังคม หมอคุยด้วยแปปเดียว ก็บอกว่าเป็นเพราะแพ้อะไรสักอย่าง ให้ยาทา ยาแก้แพ้ และยาแก้อักเสบ 130 บาท ก็พอได้ ไม่แพง แต่ยังไม่ได้ใจเรา หมอไม่ใส่ใจเราเท่าไหร่
 
นั่งรถกลับมา คลีนิคหน้ามอเปิดพอดี เป็นคลีนิคโรคผิวหนังที่เราเป็นคนไข้ประจำอยู่ เข้าไปนั่งรอหมอสักพัก ก็ได้เข้าไปพบหมอ หมอดูทุกจุดที่เราบอกว่ามีอาการ ทั้วหัว หลัง ตัว พุง แขน หน้า วินิจฉัยว่า เป็นอีสุกอีใส แน่ๆ ได้ยาทาตุ่มใส กะ ยาทาผิวหนังในส่วนที่ลอกเป็นขุย พร้อมกับยากิน ที่ต้องกินทุก 4 ชั่วโมง คุณหมอบอกว่าถ้ามีอาการไข้ ก็ให้กินยาพาราแก้ไขได้ตามอาการ เราเป็นไข้มา 2 เย็นละ ไม่คิดว่าเป้นเพราะอีสุกอีใส แต่ระยะแพร่เชื้อก็ช่วงเป็นไข้นี่แหละ แย่ชะมัด ไม่รู้แจกเชื้อให้ใครไปแล้วมั้ง น้าไกรบอกว่าเป็นเพราะเราแข็งแรง เลยเป็นไข้แค่ตอนเย็น เลยไม่ทันรู้ตัว… อ่อ หมอให้ยากินมาแค่ 2 วัน พรุ่งนี้เย็นหมอให้ไปหาอีก เพื่อดูอาการ จะได้ให้ยาถูก เพราะเรากลัวมันจะเป็นเยอะ และเป็นแผลเป็น คุณหมอใจดี ยาไม่แพงด้วย เรายอมจ่าย
 
กลับมาห้องก็กินยา นอนดูทีวี …ทายา ทาไม่ทั่วตัวซะที แบบว่าตุ่มมันเพิ่งผุดขึ้นมาอีก เยอะกว่าตอนอาบน้ำตอนเช้าอีกอ่ะ… แถมคันด้วยนะ ไม่รู้จะทนไม่เกาได้ไหม เซ็งชีวิต มาเป็นตอนแก่ซะด้วย

ความรู้เรื่องการเสริมจมูก

แซงไกลเกาหลี 30 ปี!
…หรืออย่างการ "เสริมจมูก" ไทยก็เป็นประเทศแรกที่เสริมจมูกด้วยการนำไขมันของเจ้าตัวมาใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ ลดความเสี่ยงจากสิ่งแปลกปลอม จะแตกต่างและเสี่ยงน้อยกว่าใช้ "ซิลิโคน"…

 

 ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมตกแต่ง?

1.ต้อง มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประวัติหรือกำลังป่วยเป็นโรคกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ โรคหัวใจ โรคความดันและโรคเบาหวาน กลุ่มโรคเลือด เช่น โรคเลือดไหลไม่หยุดและกลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น โรคไข้หวัด โรคไซนัส หากป่วยต้องรักษาให้หายก่อน หรือความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับที่คุมอาการได้ และไม่เสี่ยงต่อการผ่าตัด ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ตกแต่งก่อนเสมอ
จึงจะสามารถทำศัลยกรรมได้?????????

2.พักผ่อนให้เพียงพอให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่งโมง

3.ควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่งโมง ก่อนทำ เพื่อให้การทำศัลยกรรมตกแต่ง ในครั้งนั้นราบรื่นไม่ต้องสะดุดหยุดกลางคัน เพราะต้องเลื่อนเวลาหรือวันผ่าตัด

4.หากมีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน

เกร็ดความรู้ : ศัลยกรรมการเสริมจมูก

โครงสร้างของใบหน้าที่งดงามประกอบไปด้วย รูปโครงหน้า คิ้ว ตา ปาก และจมูก ถ้าคุณมีรูปหน้าดี คิ้วดี ตาสวย ปากบาง แต่จมูกแบนบาน คุณก็ดูแค่ธรรมดา แต่หากมีจมูกเป็นสันสวยรับกับใบหน้า คุณก็จะเป็นคนที่สวยโดดเด่นขึ้นมาในทันใด ดังนั้นจึงไม่แปลกใช่มั้ยถ้าหมอจะบอกว่า การเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมตกแต่งที่สาวไทย (หนุ่ม ๆ ด้วย) นิยมทำกันมากที่สุดอย่างหนึ่ง ใคร ๆ ก็อยากสวยอยากหล่อดูดีมีดั้งโด่งเป็นสันคมเข้มทั้งนั้นแหละครับ

ในบทนี้หมอจึงจะแนะนำวิธีการเพิ่มสวยเติมหล่อด้วยการเสริมจมูกที่ปลอดภัยมาให้ได้ทราบกัน

การเสริมจมูก เป็นการตกแต่งโครงสร้างของจมูกให้ดูสูงขึ้น ทำให้โครงสร้างจมูกมีรูปร่างที่สวยงามขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูกมีทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว คนที่มีโครงสร้างของจมูกแบนทั้งผู้ชายและหญิงสาวสามารถรับการผ่าตัดเสริม จมูกได้ ควรจะมีอายุอย่างน้อย 16 ปี ขึ้นไป

วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลายชนิด จำแนกง่าย ๆ คือ

1. จากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด (Autograft)
เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ฯลฯ วิธีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เสริมจมูกคนไข้ที่มีจมูกผิดรูป เนื่องจากอุบัติเหตุหรือแก้ไขความพิการจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น เนื้องอก ความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น และไม่เหมาะสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อความงามสำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไป

2. วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic prothesis)
เช่น ซิลิโคนแท่ง (Silicone) ที่ใช้ในวงการแพทย์ (Medical grade) เพราะจะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายมนุษย์น้อยมาก ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถรับและห่อหุ้มแท่งซิลิโคนให้ยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ ดี

ยังมีวัสดุอีกหลายชนิดที่มีการนำมาเสริมจมูก แต่ปัจจุบันนี้วัสดุทั้ง 2 อย่างนี้ยังเป็นที่ใช้กันแพร่หลายมาก

คุณ รู้แล้วนะครับว่า ส่วนมากแพทย์จะเลือกใช้ซิลิโคนแท่งในการผ่าตัดเสริมจมูก ทีนี้ถ้าคุณต้องการที่จะเสริมจมูกให้โด่งสวย คุณต้องปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน และพึงทราบว่า การผ่าตัดเสริมจมูกนั้นมีความสำคัญมาก เพราะจมูกเป็นโครงสร้างที่อยู่บนส่วนกลางของใบหน้า

ดังนั้นควร พิจารณาควบคู่ไปกับโครงสร้างอื่น ๆ เช่น คิ้ว หน้าผาก ตา แก้ม และริมฝีปากด้วย ซึ่งโครงสร้างอื่น ๆ จะมีส่วนในการกำหนดความสูง ความกว้างของตัวจมูก และปลายจมูกด้วย

แพทย์จะ สอบถามความต้องการของคุณ และตรวจสอบโครงสร้างของจมูก รวมถึงเนื้อเยื่อในโพรงจมูกด้านนอก (Anterior nare) และจะพิจารณาส่วนต่าง ๆ ในโครงหน้าประกอบด้วยว่า ถ้าทำแล้วดูสวยดูดีเหมาะกับรูปหน้าของคุณหรือไม่ ถ้าเห็นว่าโอเค..สวยคุณก็จะได้จมูกโด่งตามที่คุณต้องการถ้าเห็นว่าไม่เหมาะ เช่น โด่งเกินไป แหลมเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงได้ หมออาจแนะนำให้คุณลดขนาดลงมาแทน หรือดูให้เหมาะสมกับคุณเป็นคุณที่สวยไม่เหมือนใครก็ได้ ดังนั้นขั้นตอนนี้คุณจึงต้องแจ้งความประสงค์และพูดคุยทำความเข้าใจกับแพทย์ ให้ดี เพราะสวยของคุณกับสวยของแพทย์อาจไม่ตรงกันก็ได้

นอกจาก นั้นคุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่า คุณเคยผ่าตัดอะไรเกี่ยวกับจมูกมาหรือเปล่า มีโรคประจำตัวมั้ย หรือแพ้ยาอะไรบ้าง และถ้าคุณยังมีปัญหาใดสงสัยที่ต้องให้แพทย์อธิบาย ก็ถามให้หมดเพื่อความสบายใจ

หลังจากที่คุณกับแพทย์ทำความเข้าใจ กันเป็นที่เรียบร้อย แพทย์ก็จะทำการผ่าตัด เพราะการผ่าตัดเสริมจมูกเป็นการผ่าตัดที่ไม่ยุ่งยากนัก และใช้เวลาไม่นาน ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว คุณจึงสามารถรับการผ่าตัดได้เลย
#ว่าแล้วแพทย์ก็จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้คุณนอนหลับ ลดอาการวิตก และทำให้การฉีดยาชารอบจมูกสามารถกระทำได้ง่าย และคุณก็ไม่รู้สึกเจ็บด้วย
#หลังจากนั้นเมื่อมีการวัดจมูกเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะนำแท่งซิลิโคน ซึ่งได้ตกแต่งและทำรูปร่างให้เรียบร้อยตามที่กำหนดไว้มาใส่ที่สันจมูก โดยแผลที่ผ่าตัดจะมีความยาวประมาณ 1 ซม. บริเวณขอบรูจมูก อาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ตามแต่ความถนัดของแพทย์
#จากนั้นจะมีการผ่าตัดสร้างช่องว่าง (Pocket) ที่สันจมูกใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก ให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่เตรียมไว้ได้
#เมื่อใส่เข้าไปก็ตรวจสอบความเรียบร้อย เย็บปิดแผลประมาณ 3 เข็ม ปิดพลาสเตอร์หรือเฝือกจมูก เพื่อช่วยป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวมเป็นอันเรียบร้อย ทั้งนี้การใช้วัสดุเย็บแผลหรือชนิดพลาสเตอร์ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ แต่ละท่าน
#แพทย์จะให้คุณนอนพักประมาณ 1 ชม. เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีฤทธิ์ยานอนหลับตกค้างอยู่แล้ว คุณก็สามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องพักค้างคืนที่โรงพยาบาล

….แบบว่า วันนี้เพื่อนนุมาชวนให้ไปผ่าตัดศัลยกรรมจมูกในราคาพิเศษเนื่องจากมีแฟนเป็นหุ้นส่วนคลินิคศัลยกรรม พอมาเปิดหาข้อมูลดูรูปแล้วก็น่ากลัวใช้ได้ อยากสวยก็ต้องทนเจ็บงั้นรึ แต่ของดีมีคุณภาพกับราคาเป็นกันเองนี่ก็น่าสนใจไม่หยอกนะ หรือว่าจะเก็บเงินไว้ไปแต่งรถดีนา… เราสวยอยู่แล้วถ้าเสริมดั้งอีกก็คงสวยมากเกินไป เดี๋ยวสามีจะห่วงมากกว่านี้(ตอนนี้แทบไม่สนใจเลย…)

 

อยากสวยค่ะอยากสวย แต่กลัวเจ็บ  ดูคลิปแล้วไม่อยากจะทำเลย เอาไงดีนา…

เริ่มต้นหาหมอผิวหนังอีกครั้ง

จากการกลับบ้านครั้งที่ผ่านมาเจอเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าหน้าโทรม…แต่งงานแล้วก็อย่าปล่อยให้ตัวเองโทรมสิยะ…
 
เจอแม่ แม่ก็บ่นเรื่องหนังหน้าของลูกสาวที่มีแต่รอยสิว และสิวสดๆใหม่ๆ ถึงขนาดคิดสูตรให้เราดื่มเบียร์วันละแก้ว หรือวันละกระป๋อง เผื่อว่าแอลกอฮอล์ในเบียร์จะช่วยฆ่าเชื้อสิวบนหน้าเราได้
 
พอกลับมาเรียน มีเวลาส่องกระจกมองหน้าตัวเองแล้วก็เข้าใจว่าทำไมโดนบ่นมากขนาดนั้น… ก็เลยตัดสินใจจะไปหาหมอรักษาผิวหนัง หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตเยอะแยะ แต่สุดท้ายก็ตกลงเอาความสะดวกเป็นหลัก ใกล้ ไม่ต้องเดินทางนาน ไม่ต้องรอนาน นั่นคือ คลีนิกหมอสุภาพร ตรงหน้ามอนี่เอง น้องที่เรียนด้วยกันก็เคยบอกเราทีนึงตั้งแต่ก่อนเราแต่งงาน แต่ตอนนั้นคือไม่อยากรบกวนหน้าตัวเอง ตอนนี้ไม่มีภาระกิจอะไรแล้ว ก็เลยลองดูหน่อย
 
นี่คือสภาพหน้าของเรา ที่ไปหาหมอวันนี้ โดนแต้มสิวมาเรียบร้อย ตอนนี้ยังไม่มีปฏิกริยาใดๆ
หลังจากหาหมอ ก็ไปนอนให้เจ้าหน้าที่แต้มสิวด้วยน้ำยาอะไรซักอย่าง ที่แต้มแล้วจะรู้สึกแสบๆ หลังจากแต้มห้ามแกะสิว ไม่งั้นจะเป็นแผลเป็น สิวที่โดนแต้มจะฝ่อ และกลายเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล และจะหลุดลอกออกเองภายใน 1 อาทิตย์
 
ส่วนชุดนี้คือยาที่ได้มาเสริมจากชุดที่เราใช้อยู่ พร้อมโพยวิธีการใช้ หมดค่ารักษาและค่ายารวมแล้ว 500 บาท
 
ขั้นตอนก็ได้แก่
เช้า… หลังล้างหน้าก็ทา clinda-m และยาทาสิวทั่วหน้า ตามด้วยยาทารอยดำ และครีมกันแดด
เย็น…ก่อนล้างหน้าให้ทายาตลับสีส้ม และน้ำตาลทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วก็ล้างหน้าออก
ก่อนนอน…ทา clinda-m และยาทาสิวทั่วหน้า ตามด้วยยาทารอยดำ และยาทาสำหรับสิวอักเสบ
 
ในส่วนล้างหน้าเดิมเราใช้ physiogel ล้างหน้า คุณหมอก็ยังให้ใช้ตัวเดิม รวมทั้ง clinda-m ที่ใช้ร่วมกับยาทาสิวของหมอได้เลย แต่ให้หยุดการใช้ benzac และ differin ที่เราเคยใช้ไว้ก่อน
 
 
อาทิตย์หน้าค่อยไปหาอีกครั้ง ถ้ายังมีสิวอักเสบขึ้นอยู่ คุณหมอจะให้กินยารักษาสิว แต่ถ้าสิวยุบและไม่มีเพิ่มมากกว่านี้ก็น่าจะได้รักษารอยแผลเป็น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ รังเกียจหน้าตัวเองมากมาย
 
หวังว่าการรักษาครั้งนี้จะเห็นผลก่อนสามีเราจะกลับมานะ… อยากสวยต้อนรับสามีค่ะ